วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2559

เปลือกไข่ไก่ สีน้ำตาลหรือสีขาวต่างกันไหม? คุณค่าทางโภชนาการของไข่มีอะไรบ้าง?


ไข่ไก่เป็นอาหารประจำเกือบทุกบ้าน เพราะเป็นแหล่งโปรตีนที่ราคาไม่แพง นำไปปรุงอาหารได้ง่าย แถมโปรตีนในไข่ยังจัดเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพคือมีกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายของเราไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ครบทั้ง 10 ชนิด ในซูเปอร์มาร์เก็ตเดี๋ยวนี้มีไข่ไก่ให้เลือกซื้อหลากหลายรูปแบบทั้งไข่โอเมกา-3 ไข่ดเอชเอ ไข่ไอโอดีน และยังมีไข่ไก่เปลือกสีขาว ซึ่งแต่เดิมเราเห็นเฉพาะสีน้ำตาลทำไมเปลือกไข่จึงมีสีต่างกัน?
               แม้ไข่ไก่ที่เราเห็นกันจนคุ้นเคยจะมีเปลือกสีน้ำตาลแต่จริงๆ แล้วไข่ไก่มีเปลือกสีขาวเหมือนไข่เป็ดด้วย โดยเฉพาะในประเทศแถบยุโรปและอเมริกา สาเหตุที่เปลือกไข่มีสีแตกต่างกันเพราะมาจากสายพันธุ์ของแม่ไก่ สีของเปลือกไข่เกิดจากเม็ดสีที่แม่ไก่สร้างขึ้นระหว่างที่สร้างไข่ในรังไข่ของมัน ซึ่งเม็ดสีที่สร้างขึ้นนี้จะแตกต่างกันไปตามพันธุกรรมและสายพันธุ์ของแม่ไก่



หลักในการดูว่าแม่ไก่สายพันธุ์ไหนจะออกไข่เป็นสีอะไรให้ดูที่ติ่งบริเวณด้านข้างหัว (Earlobe) ว่ามีสีอะไรหรือดูคร่าวๆ จากสีขนก็ได้แต่อาจจะไม่ค่อยตรง เพราะแม่ไก่ขนสีน้ำตาลบางสายพันธุ์ก็ออกไข่เป็นสีขาว ไข่ของไก่ทุกสายพันธุ์จะสร้างขึ้นเป็นสีขาวในตอนแรกและค่อยสร้างเม็ดสีต่างๆ ตามมา ด้านในของเปลือกไข่จึงเป็นสีขาวไม่ว่าเปลือกด้านนอกจะเป็นสีขาวหรือสีน้ำตาล ถ้าเราเก็บไข่ไก่สีน้ำตาลที่แม่ไก่เพิ่งวางใหม่ๆ ซึ่งยังชื้นๆ อยู่มาถูกหรือขัดสีน้ำตาลจะหลุดออกมากลายเป็นไข่เปลือกสีขาว แต่ก็ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของแม่ไก่ด้วยว่าสีจะหลุดยากหรือง่าย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับขั้นตอนการเคลือบเม็ดสีลงบนเปลือกไข่ในท้องแม่ไก่ที่แตกต่างกันไปในแต่ละสายพันธุ์

               นอกจากเฉดสีแล้ว สีของเปลือกไข่ของไก่สายพันธุ์เดียวกันก็อาจมีความเข้มแตกต่างกันได้จากหลายสาเหตุ แม่ไก่ที่เครียดไม่ว่าจากอากาศร้อนหรือสภาวะในโรงเลี้ยงที่ไม่เหมาะสม จะหลั่งฮอร์โมนบางชนิดที่ขัดขวางการสร้างเม็ดสี ทำให้เปลือกไข่มีสีน้ำตาลกว่าปกติ เช่นเดียวกับแม่ไข่ที่ติดเชื้อไวรัสบางชนิด

               นอกจากนี้แม่ไก่แต่ละพันธุ์จะสร้างเม็ดสีขึ้นมาในปริมาณเท่าๆ กัน ขนาดของไข่ก็มีผลต่อสีของเปลือกไข่ด้วย ยิ่งออกไข่ที่มีขนาดใหญ่ เปลือกไข่ก็จะมีสีอ่อนลงเพราะปริมาณเม็ดสีที่สร้างขึ้นมาเคลือบเปลือกไข่มีเท่าเดิม แม่ไก่ที่มีอายุมากขึ้นก็จะออกไข่ที่มีเปลือกสีอ่อนลงด้วยเพราะสร้างเม็ดสีได้น้อยลง

               ถ้าแม่ไก่ที่ออกไข่เปลือกสีขาวอมฟ้ากินอาหารที่มีปริมาณแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) สูง (คาโรทีนอยด์เป็นเม็ดสีที่อยู่ในอาหารและทำให้มีสีส้มตามธรรมชาติเช่น แครอต ฟักทอง และเปลือกกุ้ง) เปลือกไข่จะมีเฉดสีฟ้าเข้มขึ้น แคโรทีนอยด์ยังทำให้ไข่แดงมีสีส้มแดงด้วย จึงนิยมใช้เป็นส่วนผสมในอาหารแม่ไก่และเป็ดเพื่อให้ไข่แดงมีสีเข้มขึ้น นอกจากนี้ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่าสีของเปลือกไข่ก็เข้มอ่อนไม่สม่ำเสมอทั่วกันทั้งฟอง หรือมีจุดสีเข้มๆ กระจายอยู่บนเปลือก ซึ่งก็เกิดจากขึ้นตอนการเคลือบสีเปลือกไข่ในท้องแม่ไก่

โอเมกา-3 หรือ DHA ในไข่
               ด้านคุณค่าทางโภชนาการ ในต่างประเทศที่นิยมเลี้ยงไก่สายพันธุ์ที่ออกไข่สีขาวมักกล่าวอ้างเพื่อโฆษณาขายไข่สีน้ำตาลซึ่งมีราคาแพงกว่าว่า ไข่สีน้ำตาลมีสารอาหารและกลิ่นรสดีกว่า แต่จริงๆ แล้วเปลือกสีต่างกันไม่ได้ทำให้ปริมาณสารอาหารต่างๆ ในไข่ต่างกันเลย เมื่อนำไปทำอาหารก็ไม่ได้แตกต่างกันด้วย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัมผัสและการขึ้นฟู เพราะไข่ที่มีเปลือกสีต่างกันเกิดขึ้นจากกระบวนการสร้างเปลือกของแม่ไก่แต่ละสายพันธุ์เท่านั้น แต่การสร้างองค์ประกอบอื่นๆ ในไข่ไม่ได้ต่างกัน

ไข่ไก่

               คุณค่าทางโภชนาการของไข่ทั้งปริมาณโปรตีน ไขมันคอเลสเตอรอล และสารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอื่นๆ จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขนาดของไข่ ลักษณะการเลี้ยง และอาหารที่ใช้เลี้ยงแม่ไก่ ในต่างประเทศมีการศึกษาว่าไก่ที่เลี้ยงแบบอิสระ (Free Range Chicken) หรือให้กินอาหารตามธรรมชาติ (Pastured Chicken) จะวางไข่ที่มีไขมันและคอเลสเตอรอลต่ำกว่าไก่ที่เลี้ยงในกรงและกินอาหารไก่ทั่วไป จึงกลายเป็นที่นิยม

               หลายคนคงเคยเห็นไข่โอเมกา-3 ไข่ดีเอชเอ ไข่ไอโอดีน ไข่เหล่านี้ผลิตโดยการเสริมสารอาหารเหล่านั้นลงในอาหารไก่ โดยเฉพาะน้ำมันปลาซึ่งมีอีพีเอ (Eicosapentaenoic Acid, EPA) และดีเอชเอ (Docosahexaenoic Acid, DHA) ซึ่งเป็นกรดไขมันโอเมกา-3 (Omega-3 Fatty Acids) ทำให้ไข่ที่แม่ไก่สร้างขึ้นมีปริมาณสารเหล่านี้สูงขึ้นตามไปด้วย ส่วนจะมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับปริมาณที่เติมลงในอาหารไก่

               จริงๆ แล้วไข่ไก่ก็มีกรดไขมันโอเมกา-3 นะครับ แต่มีปริมาณน้อยและไม่ใช่อีพีเอ ดีเอชเอ แต่เป็นกรดไขมันโอเมกา-3 ตัวอื่น เช่น กรดอัลฟาลิโนเลนิก หรือ เอแอลเอ (α-linilenic Acid, ALA) ซึ่งพบตามธรรมชาติในน้ำมันถั่วเหลืองด้วยไข่โอเมกา-3 และไข่ดีเอชเอไม่ได้มีปริมาณไขมันสูงกว่าไข่ทั่วไป ปริมาณไขมันซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในไข่แดงก็ไม่ได้แตกต่างกัน เพียงแต่สัดส่วนและปริมาณของกรดไขมันชนิดต่างๆ อาจต่างกันไป เนื่องจากมีกรดไขมันโอเมกา-3 ซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดหลายตำแหน่ง (Polyunsaturated Fatty Acid) ในปริมาณมากกว่าแต่ปริมาณสารอาหารสำคัญอย่างโปรตีนยังเท่าเดิม

               นอกจากนี้อายุการเก็บก็เท่ากับไข่สดปกติด้วย เพราะถึงแม้ว่ากรดไขมันโอเมกา-3 จะเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันที่ทำให้เกิดกลิ่นหืนได้ง่าย แต่ธรรมชาติของไข่ที่มีผิวเคลือบหุ้มเปลือกด้านนอกและยังมีโครงสร้างส่วนต่างๆ ที่ช่วยปกป้องไข่แดงไม่ให้สัมผัสกับอากาศ ทำให้ปฏิกิริยาเกิดได้น้อยมาก การที่ไข่จะเน่าช้าหรือเร็วยังขึ้นอยู่กับความสะอาดและกระบวนการต่างๆ ที่ใช้ตลอดขั้นตอนการผลิตด้วย เช่น โรงเรือนเลี้ยง การเก็บและทำความสะอาดไข่บรรจุภัณฑ์ อุณหภูมิและความชื้นที่เก็บรักษา

               แถมอีกนิดสำหรับไข่แฝดที่มีไข่แดง 2 ฟองอยู่รวมกัน เกิดจากการที่แม่ไก่บังเอิญตกไข่พร้อมกัน 2 ใบ จึงสร้างไข่ขาวและเปลือกมาหุ้มรวมกันไว้เป็นฟองเดียว ซึ่งโอกาสที่จะเกิดไข่แฝดคือหนึ่งในพันฟอง ไข่แฝดจะมีขนาดใหญ่กว่าไข่ปกติและไม่สามารถฟักเป็นตัวได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าไข่ขนาดใหญ่จะเป็นไข่แฝดนะครับ เพราะขนาดใหญ่ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และอายุของแม่ไก่ แม่ไก่จะออกไข่ขนาดใหญ่เรื่อยๆ ตามอายุของมัน ไข่แฝดจะมีขนาดใหญ่กว่าไข่ปกติของแม่ไก่ตัวนั้นๆ

               ไม่ว่าจะเป็นไข่ชนิดไหนก็ให้ประโยชน์และเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีเหมือนๆ กัน

สูตรข้าวผัดคลีน ๆ อร่อยสุขภาพดีอวดหุ่นเป๊ะน้ำหนักลด

สูตรข้าวผัดคลีน ๆ  จานเด็ด ปรับอาหารจานเดียวให้เป็นอาหารเพื่อสุขภาพ สาว ๆ ที่กำลังไดเอตอยากให้ลอง กินอร่อยไม่อ้วนจริง ๆ นะขอบอก

          หลังจากผัดวันประกันพรุ่งมานานถึงคราวที่ต้องลดน้ำหนักอย่างจริงจังเสียที เหตุผลง่าย ๆ คือ อยากหุ่นเพรียวใส่ชุดเดรสสวย ๆ เหมือนตอนสาว เพื่อน ๆ แนะนำให้เรากินอาหารคลีน เช่น สุกี้คลีน ไข่เจียวคลีน และอื่น ๆ อีกสารพัด แต่ที่เราชอบมากที่สุดคือ ข้าวผัดทูน่าคลีน ทำกินมาเป็นอาทิตย์แล้วล่ะ แต่ตอนนี้อยากกินข้าวผัดแบบคลีนหน้าตาใหม่ ๆ บ้าง กระปุกดอทคอมขอนำเสนอ 5 วิธีทำข้าวผัดคลีน ได้แก่ ข้าวผัดปู ข้าวผัดธัญพืช ข้าวผัดคีนัวไก่ ข้าวกล้องผัดสมุนไพรแซลมอนรมควัน และข้าวไรซ์เบอร์รีผัด เมนูคลีนง่าย ๆ ใคร ๆ ก็ทำได้ แค่เห็นภาพต่อมหิวเริ่มทำงาน ล้างกระทะกันยัง ?


1. ข้าวผัดปูคลีน

          มาเริ่มกันที่ข้าวผัดคลีนเมนูแรกกันเลยค่ะ คือ ข้าวผัดปูสูตรจากเฟซบุ๊ก Homemade Clean Food แม้จะใส่เนื้อปูลงไปพอประมาณตามสัดส่วนอาหารคลีน จุดเด่นคือ ใช้ข้าวหอมนิลแทนข้าวขาว กินอร่อยและมีประโยชน์แบบนี้สาว ๆ ไม่ต้องกลัวหุ่นพังนะคะ  

ส่วนผสม ข้าวผัดปูคลีน

          • น้ำมันมะกอก 1 ช้อนชา 
          • กระเทียมสับ
          • เนื้อปูก้อน 1 ส่วน
          • ไข่เป็ด 1 ฟอง
          • ข้าวหอมนิล 1 ส่วน
          • เกลือป่น
          • หอมซอย (เอาแต่ใบเขียว) 
          • พริกไทย
            
          หมายเหตุ : ป้าใช้สัดส่วนข้าวหอมนิล 1 ส่วน เนื้อปูก้อน 1 ส่วน ไข่เป็ด 1 ใบ ตามสัดส่วนอาหารคลีน คาร์ป 1 ส่วน โปรตีน 1 ส่วน




วิธีทำข้าวผัดปูคลีน

          • 1. ตั้งกระทะให้ร้อนจัด ๆ จนควันขึ้น ใส่น้ำมันมะกอกลงไปเกลี่ยให้ทั่วกระทะ จากนั้นลดไฟลงแล้วใส่กระเทียมสับลงไป ผัดเร็ว ๆ 

          • 2. ใส่เนื้อปูลงไปผัดให้ปูหอมและแห้ง

          • 3. ตอกไข่ใส่ลงไปผัดแต่อย่าเพิ่งให้สุกมาก (ไข่เป็ดสีจะสวยและมันกว่าไข่ไก่) 

          • 4. ใส่ข้าวลงไปผัดให้เข้ากัน (อย่าให้ข้าวเกาะเป็นเม็ด) เร่งเป็นไฟแรง ผัดเร็ว ๆ ให้ข้าวร้อน และเม็ดข้าวเด้งจากกระทะขึ้นมา โรยหอมซอย และพริกไทย พร้อมเสิร์ฟ

          • ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ 13 อาหารคลีนแบบไทย ๆ เมนูสุขภาพในแบบรสชาติที่คุ้นเคย



++++++++++++++++


2. ข้าวผัดธัญพืช

          เอาใจคนชอบธัญพืชด้วยเมนูข้าวผัดธัญพืชสูตรจากเฟซบุ๊ก Homemade Clean Food สูตรนี้ใส่สารพัดธัญพืชลงไปผัดกับข้าวผัดคลีน เสิร์ฟคู่กับไข่ดาวในพริกหยวก ใครอยากบริหารเหงือกและฟันต้องลอง

ส่วนผสม ข้าวผัดธัญพืช

          • น้ำมันมะกอก 1 ช้อนชา
          • กระเทียม
          • เนื้อไก่
          • ข้าวกล้อง 1 ถ้วย
          • ธัญพืชตามชอบ 
          • ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา
          • ไข่ไก่
          • พริกหยวก

วิธีทำข้าวผัดธัญพืช

          • 1. ใส่น้ำมันมะกอกลงในกระทะ ใส่กระเทียมลงไปแล้วลดไฟลงหน่อย 

          • 2. ใส่ไก่ลงไปผัด ตามด้วยข้าวกล้องและธัญพืช ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ผัดให้เข้ากัน ตักใส่จาน 

          • 3. ทอดไข่ดาวในพริกหยวกจนสุก เสิร์ฟคู่กับข้าวผัด

          • ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ 13 อาหารคลีนแบบไทย ๆ เมนูสุขภาพในแบบรสชาติที่คุ้นเคย

++++++++++++++++



วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2559

30 วิธีสลายความเครียด


                                          http://health.kapook.com/view33466.html



ด้วยภาวะโลกอันแสนจะวุ่นวายทุกวันนี้จากปัญหาต่าง ๆ ย่อมทำให้คนเราเครียดกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ครอบครัว หรือสุขภาพ (หรือตอนนี้คงหนีไม่พ้นเรื่อง น้ำท่วม) และสิ่งเหล่านี้ย่อมส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจใช่มั้ยคะ? วันนี้เรามีเคล็ดลับง่าย ๆ ที่จะช่วยให้เพื่อน ๆ รู้สึกผ่อนคลายจากความเครียดได้มาบอกค่ะ

           1. ดื่มชาเขียวเป็นประจำ จิบชาเขียวเป็นประจำทุกวันช่วยคุณให้รู้สึกผ่อนคลาย สงบนิ่ง แม้จะอยู่ในสิ่งรายล้อมอันแสนจะวุ่นวาย แถมยังทำให้สุขภาพดีด้วยนะ

           2. ตามใจตัวเองบ้างอะไรบ้าง การได้ให้รางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ กับตัวเองก็เป็นความสุขทางใจอีกทางนึงนะ และยังช่วยลดความเครียดได้อีกด้วย เช่น สาว ๆ หลายคน มักจะผ่อนคลายความเครียดด้วยการช้อปปิ้ง หรือหาของหวานอร่อย ๆ ทาน (ซึ่งก็มักจะได้ผลดีด้วยนะ)

           3. หาหน้าจอสกรีนเซฟเวอร์ที่สบายตา หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เราต้องจ้องมองมันทั้งวัน อาจทำให้คุณปวดตาได้ ดังนั้นควรจะหาสกรีนเซฟเวอร์ที่ดูแล้วคลายความเครียด เช่น ภาพท้องทะเลที่สวยงามยามเย็น ท้องฟ้าครามในวันที่อากาศดี ป่าเขียวอันแสนร่มรื่นย์ เป็นต้น

           4. เก็บข้อมูลทางสุขภาพไว้ในที่ปลอดภัย สถานสุขภาพบางแห่งมีการจัดเก็บข้อมูลสุขภาพของครอบครัวออนไลน์ หรือแม้แต่ในมือถือของคุณเอง ซึ่งทันสมัยและรวมอยู่ในที่เดียวเพื่อความสะดวกในการเข้าไปเช็คประวัติการรักษา การแจ้งเตือนนัดหมายกับแพทย์ หรือแม้กระทั่งสิ่งที่เคยถามคุณหมอไป

           5. หันมาบริโภคโฮลเกรน โฮลเกรน หรือ "ธัญพืช" นั้นมีประโยชน์มากกว่าแป้งขาว แถมดีต่อสุขภาพ โดยธัญพืชจะค่อย ๆ ถูกดูดซึมอย่างช้า ๆ และถูกปล่อยเป็นพลังงานออกมา ทั้งนี้เมื่อร่างกายย่อยอย่างช้า ๆ แล้ว จึงทำให้รู้สึกอิ่มนานและช่วยคุมน้ำหนักได้อีกด้วย ช่างมีประโยชน์เหลือหลายจริง ๆ

6. เดินเท้าเปล่าบ้าง รู้หรือไม่ว่าการเดินเท้าเปล่าบนพื้นพรม สนามหญ้าหรือพื้นทรายบ้างเป็นการนวดเท้าแบบเบา ๆ วิธีหนึ่งนะ ลองเดินเท้าเปล่าสัก 10 นาที แล้วผ่อนคลาย ปล่อยใจให้สงบ ช่วยให้คลายเครียดได้นะ ถ้างั้นถอดถุงเท้า โยนรองเท้าทิ้งไป แล้วออกเดินโลด!

           7. บันทึกความกังวลในแต่ละวัน ลองพกกระดาษกับปากกาติดตัวไว้ แล้วลองสังเกตุและจดดูว่าวัน ๆนึง เรามีเรื่องกังวลกับสิ่งต่าง ๆ เยอะมั้ยในแต่ละวัน แล้วหันมาทบทวนว่าคุณเสียเวลาไปกับเรื่องเหล่านี้มากเกินไปรึเปล่า

           8. หายใจลึก ๆ เมื่อเห็น "จุด" งงใช่ไหมคะ? เจ้าจุดกลม ๆ ช่วยลดความเครียดได้อย่างไร? หากคุณใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีต่อวันลองกำหนดลมหายใจ โดยค่อย ๆ หายใจเข้าและหายใจลึก ๆ (เหมือนกับกำหนดลมหายใจนั่งสมาธิ) เพียงแค่นี้ก็ช่วยลดความเครียดได้ ซึ่งบางทีเรามักลืมทำ แต่คุณสามารถใช้ตัวช่วยได้ด้วยการติดสติ๊กเกอร์ลายจุดกลม ๆ ไว้ตามที่ต่าง ๆ เพื่อช่วยเตือนได้

   9. ออกกำลังกาย วิธีขจัดความเครียดโดยไม่ต้องลงทุน แค่ลงแรง เนื่องจากเวลาเราออกแรงให้เหงื่อออก ร่างกายก็จะขับของเสียออกมาและยังช่วยเคลียร์หัวสมองให้โล่งด้วยนะ

      10. กินขนมขบเคี้ยว "เครียดน้อย 1 เม็ด เครียดมาก 2 เม็ด" หลายคนคงจำประโยคนี้จากโฆษณาถั่วชนิดหนึ่งได้ ใช่แล้ว! การกินขนมขบเคี้ยวช่วยลดความเครียดได้ เช่น ถั่ว เมล็ดพืชและช็อคโกแลตชิป กินสักหนึ่งกำมือคุณก็พอ เพราะหากกินมากไป ก็จะเครียดเพราะความอ้วนถามหาได้

     11. พูดอย่างนุ่มนวล เชื่อมั้ยว่าถ้าเราลองหัดพูดให้นุ่มนวล ละมุนละไม ส่งผลให้ความดันเลือด อัตราการเต้นของหัวใจและความเครียดลดลงได้

           12. ระบายความรู้สึกผ่านตัวหนังสือ เมื่อรู้สึกเครียดก็ระบายมันออกมาเลย ไม่ต้องลงไม้ลงมือ แค่เขียนใส่กระดาษไป มันอาจจะไม่ได้ช่วยให้โกรธทันที แต่ทำให้ความเครียดลดลงได้นะ

           13. ร้องเพลงขณะอาบน้ำ น่าจะเป็นสิ่งที่หลายคนทำมากที่สุดแล้ว เพราะรู้สึกว่ามันทำให้เราผ่อนคลายได้มากขึ้น แถมได้อาบน้ำเย็น ๆ ไปด้วย ชิลสุด ๆ
14. สัมผัสกลิ่นลาเวนเดอร์ เพียงจุดเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์อ่อน ๆ ในห้องนอนของคุณ จะช่วยทำให้รู้สึกล่องลอยราวกับอยู่ในสวนดอกลาเวนเดอร์แห่งความหอม ลืมชีวิตที่แสนวุ่นวายไปเสียสนิท

           15. ดูหนัง วิธีบำบัดความเครียดอีกวิธีหนึ่งที่คนส่วนใหญ่มักทำคือ การดูหนัง ไม่ว่าจะดูที่บ้านหรือโรงหนัง เพราะมันช่วยให้เราหลีกหนีความจริงและเรื่องเครียดไปได้ชั่วขณะ

           16. เข้านอนเร็ว หลายคนคงรู้สึกหงุดหงิดในยามเช้าเวลานาฬิกาปลุก แล้วต้องตื่นขึ้นมากดหลายครั้งๆ นั้นเพราะคุณนอนดึก จึงไม่อยากตื่นในตอนเช้า เพียงแค่คุณปรับเวลาให้นอนเร็วขึ้น เพื่อให้ร่างกายพักผ่อนให้เพียงพอ ร่างกายก็พร้อมรับวันใหม่อย่างสดชื่นแล้ว

           17. บอกเล่าเรื่องดี ๆ ให้คนอื่นฟัง พูดคุยกับเพื่อนหรือเพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับคนรู้จัก โดยเล่าในเชิงบวกและกล่าวชื่นชมยินดีพวกเขา สามารถสร้างปฏิสัมพันธ์อันดีต่อกันและช่วยลดความตึงเครียดลงได้
18. กุมมือ เคยรู้สึกไหมว่าตอนคุณไม่สบายใจ แล้วมีคนคอยจับมือและอยู่เคียงข้าง ทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น ทั้งที่ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาจากเรื่องที่เครียด นั้นเป็นเพราะการสัมผัสส่งผลบางอย่างที่ทำให้รู้สึกอุ่นใจขึ้น

           19. ประดิษฐ์งานฝีมือ เชื่อไหมว่าการทำกิจกรรมอย่าง การถักไหมพรมหรือทำหนังสือ โดยใช้เวลาแค่ 20 นาที ช่วยให้คุณมีสมาธิมากขึ้นและให้ความสนใจไปกับสิ่งที่ทำให้คุณเพลิดเพลิน ลืมความตึงเครียดไปได้ชั่วขณะ
20. ขยันให้เหมือนผึ้ง หาอะไรทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ภายในบ้านทำ เช่น กวาดบ้านถูบ้าน ทำความสะอาดลิ้นชัก จะได้ไม่อยู่ว่างเฉย ๆ และดูมีคุณค่า ซึ่งสิ่งที่เลือกทำควรจะเป็นงานเบา ๆ ใช้เวลาไม่เกิน 20 นาที เพราะเดี๋ยวจะเหนื่อยจนเกินไปแล้วเครียดอีก  

           21. เปิดรูปภาพคนที่คุณรัก สังเกตไหมคะ ว่าบนโต๊ะทำงานของคนส่วนใหญ่ของคนทำงาน มักมีภาพของครอบครัวหรือคนที่รักอยู่เสมอ นั้นเพราะว่าเวลาได้มองรูปภาพคนที่คุณรัก จะทำให้มีกำลังใจที่ดีขึ้น

           22. จิบโกโก้ร้อน คงเป็นเครื่องดื่มที่ใครหลายคนชอบ (โดยเฉพาะสาว ๆ) เพราะนอกจากมีรสชาติ หวาน มัน ที่อร่อยแล้ว กลิ่นหอม ๆ ของโกโก้ช่วยให้รู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลาย

           23. หาเวลาไปนวด นั่นแน่! ไม่ใช่นวดแบบนั้นนะจ๊ะ หนุ่ม ๆ ทั้งหลาย การนวดนี้เป็นการนวดเพื่อให้ร่างกายรู้สึกสบายขึ้น จากการทำงานหรือออกกำลังกาย โดยใช้เวลาสัก 5 นาทีทุกวัน จะนวดเองหรือหาคนช่วยก็ได้นะ ไม่ว่ากัน แต่เลือกให้ถูกคนล่ะ
24. มีความสุขกับชั่วโมงการอาบน้ำ ช่วงเวลาในการอาบน้ำ นับเป็นการพักผ่อนชนิดหนึ่ง แต่หลายคนมักจะรีบ ๆ อาบให้เสร็จเร็ว ๆ โดยหารู้ไม่ว่าพลาดช่วงเวลาในการพักผ่อนอีกวิธีหนึ่งไปเสียแล้ว อาจจะสัก 2 - 3 ครั้งต่ออาทิตย์ ใช้เวลาอาบน้ำสัก 20 นาที เพื่อให้ร่างกายได้พักบ้าง

           25. ขัดตัว สมัยนี้การขัดตัวกำลังเป็นที่นิยมมาก เพราะนอกจากจะเป็นการขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป ยังทำให้รู้สึกสบายเนื้อสบายตัวขึ้น

           26. การหัวเราะเป็นยาวิเศษ "หัวเราะวันละนิด จิตแจ่มใส" คำกล่าวนี้คงไม่เกินจริงไปนัก เพราะทุกครั้งที่เราหัวเราะ ร่างกายก็จะหลั่งสารแห่งความสุขออกมาและยังเป็นวิธการชะลอความแก่อีกทางนึงด้วยนะ

           27. ลิสต์เรื่องที่ทำให้มีความสุข หากคุณต้องติดอยู่ในสภาวะรถติดหรืออะไรก็ตามที่ทำให้คุณเครียด อย่าใส่ใจกับมัน แล้วหันมานึกถึงเรื่องราวที่ทำให้คุณมีความสุขสัก 5 อย่างแล้วลิสต์ออกมา นั่นจะทำให้คุณมองวันทั้งวันที่เหลือของคุณในแง่ดีมากขึ้น ซึ่งสิ่งที่จดไว้ก็จะคอยเตือนว่าคุณมีเรื่องดีดีอะไรเกิดขึ้นบ้างในแต่ละวัน

           28. อ่านกวีโปรดของคุณ ลองอ่านบทกวีเล่มโปรดแล้วอ่านออกเสียงออกมาดัง ๆ แล้วทอดอารมณ์ จินตนาการตามบทกวีอันแสนหวานนั้นไปกับมัน เพราะการอ่านบทกวีจะช่วยให้คุณค่อย ๆ หายใจเป็นจังหวะ อย่างช้าๆ ในขณะที่อ่านและปล่อยอารมณ์เ29. เข้าครัวเฉือนความเครียด หลายคนที่ชอบเข้าครัวคงทราบดีว่าการทำอาหารนั้นสร้างความสุขอย่างหนึ่งให้กับชีวิต เรามักเพลิดเพลินเวลาค่อย ๆ หั่นผักสดเป็นจังหวะ เหมือนเล่นดนตรี ทำให้เราลืมเรื่องวุ่นวายภายนอกไปได้ชั่วขณะ แถมยังทำให้เรามีอาหารแสนอร่อย เป็นรางวัลตบท้ายอีกด้วย

           30. ยืดแข้งยืดขา คนเรานั่งทำงานนานๆ ก็ทำให้เมื่อยได้ ถึงจะนั่งโต๊ะทำงานสบาย ๆ ก็เถอะ ลองยืดแข้งยืดขาเพื่อคลายกล้ามเนื้อซะบ้าง บิดตัวไปมา หมุนศีรษะเบา ๆ ขยับแขนขาเล็กน้อย แค่นี้ก็ช่วยได้แล้ว

          จากวิธีข้างต้น คงมีส่วนช่วยให้ทุกคนคลายความเครียดลงได้บ้างนะคะ ขั้นตอนง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็ทำได้ สามารถทำได้เป็นกิจวัตร ฉะนั้นจะเครียดไปไย ชีวิตยังมีเรื่องให้ค้นหาความสุขอีกมาก ถ้าเพื่อน ๆ ลองทำแล้วได้ผลดีอย่างไรก็อย่าลืมบอกต่อเรื่องราวดี ๆ แบบนี้ด้วยนะคะ โลกเราจะได้มีคนเครียดน้อยลงพลิดเพลินไปกับมัน


เนรมิตผิวเนียนนุ่มด้วยกล้วยหอม



เนรมิตผิวเนียนนุ่ม


รู้ไหมคะ เวลาที่สาวๆ อเมริกันโดนแดดแผดเผาจนผิวไหม้เกรียม พวกเธอมักใช้เปลือกกล้วยหอมถูเบาๆ ที่ผิวหน้าและผิวกาย เพราะเชื่อว่าเปลือกและเนื้อของผลไม้ดังกล่าว จะช่วยเคลือบผิวและปกป้องผิวจากรังสียูวีได้แต่ความมหัศจรรย์ของกล้วยหอมยังไม่หมดเพียงแค่นั้น เพราะผลไม้สีเหลืองนวลนี้ยังมีประโยชน์ต่อผิวพรรณนานัปการ จึงนำสูตรต่างๆ มาบอกต่อค่ะ


ครบครันเรื่องสารบำรุงผิว

ข้อมูลจากภาควิชาพฤษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เผยว่า “กล้วยหอม” ถือเป็นส่วนผสมที่สำคัญในครีมและโลชั่นบำรุงผิวสำหรับคนผิวแห้ง นั่นเพราะกล้วยหอมอุดมด้วยวิตามินบี ซึ่งมีประโยชน์ต่อผิวหนัง  ทั้งยังขึ้นชื่อในเรื่องของการป้องกันริ้วรอยและปรับสีผิวให้สว่างใสขณะเดียวกันกล้วยหอมยังอุดมไปด้วยวิตามินอี ซึ่งช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวี รวมถึงมีโพแทสเซียม (Potassium) ที่จะเสริมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว


ไอเท็มเลอค่าจากกล้วยหอม

เพราะกล้วยหอมอัดแน่นด้วยสิ่งดีๆ ที่ธรรมชาติมอบให้ เราจึงขอพาคุณมารู้จักกับผลิตภัณฑ์จากผลไม้ชนิดนี้ ซึ่งจะเนรมิตผิวให้เนียนนุ่มน่าสัมผัสได้ไม่ยาก

• ครีมบำรุงผิว ทาครีมหลังอาบน้ำเป็นประจำจะทำให้ผิวเรียบเนียนและชุ่มชื้น


• สบู่ล้างหน้า ใช้ทำความสะอาดผิว ขจัดสิ่งสกปรก ปรับผิวหน้าให้ขาวใสและเนียนนุ่ม


• มาสก์ ทาทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก มาสก์กล้วยหอมจะปลุกความสดชื่นพร้อมทั้งบำรุงผิวอย่างล้ำลึก


มาสก์กล้วยบำรุงผิว

เริ่มจากนำกล้วยหอม แตงกวา แอ๊ปเปิ้ล และมะเขือเทศ อย่างละ 1 ผล ปอกเปลือกออกแล้วปั่นให้เข้ากัน พอกหน้าทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออก ทำเป็นประจำทุก 1-2 สัปดาห์ จะช่วยให้หน้าขาวใส รวมทั้งริ้วรอยเหี่ยวย่นจะจางลงรู้แล้วนะคะว่ากล้วยหอมดีต่อผิวของเราอย่างไร ดังนั้นใครอยากมีผิวสวย อย่าลืมหยิบผลิตภัณฑ์จากกล้วยหอมมาใช้กันด้วยละ
บทความ ผู้หญิง สุขภาพผู้หญิง ความสวยความงาม ศัลยกรรม

ลูกประคบงาดำ ช่วยหน้าไบรท์ใสปิ๊ง




ลูกประคบงาดำ ช่วยหน้าไบรท์ใสปิ๊ง


นอกจากเป็นอาหารสุขภาพแล้ว งาดำยังจัดเป็นสมุนไพรช่วยบำรุงผิวหน้า มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร แนะนำวิธีทำลูกประคบงาดำ ช่วยหน้าใสไว้ดังนี้

• ส่วนผสม งาดำคั่วและข้าวเหนียว อย่างละ 1 ช้อนชา ใบบัวบกแห้ง ตะไคร้แห้ง ขิงแห้ง และเปราะหอมแห้ง อย่างละ ½ ช้อนชา เกลือเล็กน้อย ผ้าฝ้ายขนาดกว้าง x ยาว 30 เซนติเมตร เชือกสำหรับมัด


• วิธีทำ นำส่วนผสมทุกอย่างมาคลุกเคล้ารวมกัน แล้ววางลงบนผ้าขาวบาง รวบชายผ้าเข้าหากัน ปั้นตัวยาเป็นก้อนกลม แล้วมัดด้วยเชือกให้แน่น


• วิธีใช้ นำลูกประคบชุบน้ำสะอาดพอหมาด จากนั้นนำไปนึ่งสักครู่ แล้วยกออก ทิ้งไว้ให้อุ่น ก่อนนำมาประคบใบหน้า วิตามินและสารแอนติออกซิแดนต์ในงาดำ จะซึมซาบเข้าไปบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น กระจ่างใส


แต่มีข้อควรระวังคือ ควรเช็กความร้อนของลูกประคบโดยการนาบบริเวณใต้ท้องแขนดูก่อนว่าร้อนเกินไปหรือไม่


อย่าลืมกินงาดำเป็นอาหารประจำมื้อด้วยนะคะ เพราะจะทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุด
บทความ ผู้หญิง สุขภาพผู้หญิง ความสวยความงาม ศัลยกรรม

ความรู้เกี่ยวกับอาเซี่ยน

http://www.lampangvc.ac.th/lvcasean/page_asean.htm
  อาเซียน (ASEAN) เป็นการรวมตัวกันของ  10  ประเทศ   ในทวีปเอเชียตะวันออก
เฉียงใต้  ผู้นำอาเซียนได้ร่วมลงนามในปฎิญญาว่าด้วย  ความร่วมมืออาเซียนเห็นชอบ ให้จัดตั้ง  ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community)    คือ   เป็นองค์กรระหว่างประเทศ ระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   มีจุดเริ่มต้นโดยประเทศไทย   มาเลเซีย และฟิลิปปินส์   ได้ร่วมกันจัดตั้ง   สมาคมอาสา (Association of South East Asia) เมื่อเดือน ก.ค.2504   เพื่อการร่วมมือกันทาง เศรษฐกิจ  สังคมและวัฒนธรรม  แต่
ดำเนินการ ไปได้เพียง 2 ปี ก็ต้องหยุดชะงักลง  เนื่องจากความผกผันทางการเมือง
ระหว่างประเทศอินโดนีเซียและประเทศมาเลเซีย จนเมื่อมีการฟื้นฟูสัมพันธ์ทางการฑูต
ระหว่างสองประเทศ
          จึงได้มีการแสวงหาหนทางความร่วมมือกันอีกครั้ง และสำเร็จภายในปี พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) แต่ต่อมาได้ตกลงร่นระยะเวลาจัดตั้งให้เสร็จในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) ในปีนั้นเองจะมีการเปิดกว้างให้ประชาชนในแต่ละประเทศสามารถเข้าไปทำงานในประเทศ  อื่น ๆ ในประชาคมอาเซียนได้อย่างเสรี   เสมือนดังเป็นประเทศเดียวกัน
         ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการประกอบอาชีพและการมีงานทำของคนไทย ควรทำความ
เข้าใจในเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคน




ความเป็นมาของอาเซียน
              สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  (Association  of  Southeast  Asian  Nations  หรือ  ASEAN)  ก่อตั้งขึ้นโดยปฏิญญากรุงเทพ  (Bangkok  Declaration)  หรือ  ปฏิญญาอาเซียน  (ASEAN  Declaration)  เมื่อวันที่  8  สิงหาคม  2510  โดยมีประเทศสมาชิก  5  ประเทศ  ประกอบด้วย  อินโดนีเซีย  มาเลเซีย  ฟิลิปปินส์  สิงคโปร์  และไทย
เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางด้านการเมือง  เศรษฐกิจและสังคม  ของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   ต่อมามีประเทศสมาชิกเพิ่มเติม  ได้แก่  บรูไนดารุส-ซาลาม   เวียดนาม   ลาว   เมียนมาร์  และกัมพูชา  ตามลำดับ   จึงทำให้ปัจจุบันอาเซียน   มีสมาชิก  10  ประเทศ

“อาเซียน” สู่การเป็นประชาคมอาเซียน  ในปี 2558 
              ปัจจุบัน  บริบททางการเมือง  เศรษฐกิจ  และสังคม   รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก      ทำให้อาเซียนต้องเผชิญ สิ่งท้าทายใหม่ๆ    อาทิ    โรคระบาด    การก่อการร้าย   ยาเสพติด  การค้ามนุษย์  สิ่งแวดล้อม  ภัยพิบัติ  อีกทั้ง  ยังมีความจำเป็นต้องรวมตัวกันเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองและขีดความสามารถทางการแข่งขันกับประเทศในภูมิภาคใกล้เคียง  และในเวทีระหว่างประเทศ  ผู้นำอาเซียนจึงเห็นพ้องกันว่า  อาเซียนควรจะร่วมมือกันให้เหนียวแน่น  เข้มแข็ง  และมั่นคงยิ่งขึ้น  จึงได้ประกาศ  “ปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมือในอาเซียน  ฉบับที่ 2”  (Declaration  of  ASEAN  Concord  II)  ซึ่งกำหนดให้มีการสร้างประชาคมอาเซียนที่ประกอบไปด้วย  3  เสาหลัก ได้แก่  
              -  ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political and Security Community - APSC) มุ่งให้ประเทศกลุ่มสมาชิกอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข แก้ไขปัญหาระหว่างกันโดยสันติวิธี มีเสถียรภาพและความมั่นคงรอบด้าน เพื่อความมั่นคงปลอดภัยของเหล่าประชาชน
              -  ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community - AEC) มุ่งเน้นให้เกิดการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจ และความสะดวกในการติดต่อค้าขายระหว่างกัน เพื่อให้ประเทศสมาชิกสามารถแข่งขันกับภูมิภาคอื่นๆได้โดย 
              -   ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio - Cultural Community - ASCC) มุ่งหวังให้ประชากรอาเซียนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี มีความมั่นคงทางสังคม มีการพัฒนาในทุกๆ ด้าน และมีสังคมแบบเอื้ออาร โดยจะมีแผนงานสร้างความร่วมมือ 6 ด้าน คือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การคุ้มครองและสวัสดิการสังคม สิทธิและความยุติธรรมทางสังคม ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม การสร้างอัตลักษณ์อาเซียน การลดช่องว่างทางการพัฒนา
              ซึ่งต่อมาผู้นำอาเซียนได้ตกลงให้มีการจัดตั้งประชาคมอาเซียนให้แล้วเสร็จเร็วขึ้นมาเป็นภายในปี 2558

ประชาคมอาเซียน คือ 
              ประชาคมอาเซียน  (ASEAN  Community)  คือ  การรวมตัวของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนให้เป็นชุมชนที่มีความแข็งแกร่ง  สามารถสร้างโอกาสและรับมือส่งท้าท้าย  ทั้งด้านการเมืองความมั่นคง  เศรษฐกิจ  และภัยคุกคามรูปแบบใหม่  โดยสมาชิกในชุมชนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี  สามารถประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น  และสมาชิก  ในชุมชนมีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

จุดประสงค์หลักของอาเซียน
              ปฏิญญากรุงเทพฯ ได้ระบุวัตถุประสงค์สำคัญ 7 ประการของการจัดตั้งอาเซียน ได้แก่ 
              1.  ส่งเสริมความร่วมมือและความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และการบริหาร 
              2.  ส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงส่วนภูมิภาค 
              3.  เสริมสร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจพัฒนาการทางวัฒนธรรมในภูมิภาค 
              4.  ส่งเสริมให้ประชาชนในอาเซียนมีความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดี 
              5. ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในรูปของการฝึกอบรมและการวิจัย และส่งเสริมการศึกษาด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
              6. เพิ่มประสิทธิภาพของการเกษตรและอุตสาหกรรม การขยายการค้า ตลอดจนการปรับปรุงการขนส่งและการคมนาคม
              7. เสริมสร้างความร่วมมืออาเซียนกับประเทศภายนอก องค์การ ความร่วมมือแห่งภูมิภาคอื่นๆ  และองค์การระหว่างประเทศ

ภาษาอาเซียน 
              ภาษาทางการที่ใช้ในการติดต่อประสานงานระหว่างประเทศสมาชิก  คือ  ภาษาอังกฤษ

คำขวัญของอาเซียน
                                                        "หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งเอกลักษณ์ หนึ่งประชาคม”
                                           (One Vision, One Identity, One Community)

อัตลักษณ์อาเซียน
             อาเซียนจะต้องส่งเสริมอัตลักษณ์ร่วมกันของตนและความรู้สึกเป็นเจ้าของในหมู่ประชาชนของตน  เพื่อให้บรรลุชะตา  เป้าหมาย  และคุณค่าร่วมกันของอาเซียน

สัญลักษณ์อาเซียน 
              คือ   ดวงตราอาเซียนเป็น 
              รูปมัดรวงข้าว สีเหลืองบนพื้นวงกลม 
              สีแดงล้อมรอบด้วยวงกลมสีขาว  และสีน้ำเงิน 
              รวงข้าวสีเหลือง 10 ต้น หมายถึง ความใฝ่ฝันของบรรดาสมาชิกในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ทั้ง 10 ประเทศ  ให้มีอาเซียนที่ผูกพันกันอย่างมีมิตรภาพและเป็นหนึ่งเดียว
              วงกลม  เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงเอกภาพของอาเซียน
              ตัวอักษรคำว่า  asean  สีน้ำเงิน  อยู่ใต้ภาพรวงข้าว  แสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกันเพื่อความมั่นคง  สันติภพ  เอกภาพ  และความก้าวหน้าของประเทศสมาชิกอาเซียน
              สีเหลือง    :   หมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง 
              สีแดง       :    หมายถึง ความกล้าหาญและการมีพลวัติ 
              สีขาว       :    หมายถึง ความบริสุทธิ์ 
              สีน้ำเงิน    :    หมายถึง สันติภาพและความมั่นคง
ธงอาเซียน 
              ธงอาเซียนเป็นธงพื้นสีน้ำเงิน  มีดวงตราอาเซียนอยู่ตรงกลาง  แสดงถึงเสถียรภาพ  สันติภาพ  ความสามัคคี  และพลวัตของอาเซียน 
สีของธงประกอบด้วย  สีน้ำเงิน  สีแดง  สีขาว  และสีเหลือง  ซึ่งเป็นสีหลักในธงชาติของบรรดาประเทศสมาชิกของอาเซียนทั้งหมด

วันอาเซียน 
              ให้วันที่  8  สิงหาคม ของทุกปี เป็นวันอาเซียน

เพลงประจำอาเซียน (ASEAN  Anthem) 
              คือ  เพลง  ASEAN  WAY

กฎบัตรอาเซียน 
              กฎบัตรอาเซียน  กำหนดให้อาเซียนและประเทศสมาชิกปฏิบัติตามหลักการดังต่อไปนี้ 
              1.  เคารพเอกราช  อธิปไตย  ความเสมอภาค  บูรณภาพแห่งดินแดน  และอัตลักษณ์แห่งชาติของรัฐสมาชิกอาเซียนทั้งปวง
              2.  ผูกพันและรับผิดชอบร่วมกันในการเพิ่มพูนสันติภาพ  ความมั่นคง  และความมั่งคั่งของภูมิภาค
              3.  ไม่รุกรานหรือข่มขู่ว่าจะใช้กำลังหรือการกระทำอื่นใดในลักษณะที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ
              4.  ระงับข้อพิพาทโดยสันติ
              5.  ไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐสมาชิกอาเซียน
              6.  เคารพสิทธิของรัฐสมาชิกทุกรัฐในการธำรงประชาชาติของตนโดยปราศจากการแทรกแซง  การบ่อนทำลาย  และการบังคับจากภายนอก
              7.  ปรึกษาหารือที่เพิ่มพูนขึ้นในเรื่องที่มีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อผลประโยชน์ร่วมกันของอาเซียน
              8.  ยึดมั่นต่อหลักนิติธรรม  ธรรมาภิบาล  หลักการประชาธิปไตยและรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญ
              9.  เคารพเสรีภาพพื้นฐาน  การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน  และการส่งเสริมความยุติธรรมทางสังคม
              10.  ยึดถือกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศ    รวมถึงกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ  ที่  รัฐสมาชิกอาเซียนยอมรับ
              11.  ละเว้นจากการมีส่วนร่วมในการคุกคามอธิปไตย  บูรณภาพแห่งดินแดนหรือเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจของรัฐสมาชิกอาเซียน
              12. เคารพในวัฒนธรรม  ภาษา  และศาสนาที่แตกต่างของประชาชนอาเซียน
              13.  มีส่วนร่วมกับอาเซียนในการสร้างความสัมพันธ์กับภายนอกทั้งในด้านการเมือง  เศรษฐกิจ  และสังคม  โดยไม่ปิดกั้นและไม่เลือกปฏิบัติ
              14. ยึดมั่นในกฎการค้าพหุภาคีและระบอบของอาเซียน
              
                            กฎบัตรอาเซียน.....(คลิกรายละเอียดเพิ่มเติม)



ประเทศไทยจะได้ประโยชน์อะไรจาก AEC (ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน)
           ประชาคมอาเซียนที่จะถือกำเนิดในปี 2558 นั้น คนไทยจะได้ประโยชน์อะไร แน่นอนเราคงอยากทราบ แต่ในชั้นนี้ขอจำกัดเฉพาะทางเศรษฐกิจก่อน

              ประการแรก ไทยจะ “มีหน้ามีตาและฐานะ” เด่นขึ้นประชาคมอาเซียนจะทำให้เศรษฐกิจ “ของเรา” มีมูลค่ารวมกัน 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีขนาดใหญ่อันดับ 9 ของโลก ยังประโยชน์แก่คนไทยทุกคนที่จะได้ยืนอย่างสง่างาม “ยิ้มสยาม” จะคมชัดขึ้น

              ประการที่สอง การค้าระหว่างไทยกับประเทศอาเซียนจะคล่องและขยายตัวมากขึ้น กำแพงภาษีจะลดลงจนเกือบจะหมดไป เพราะ 10 ตลาดกลายเป็นตลาดเดียว ผู้ผลิตจะส่งสินค้าไปขายในตลาดนี้และขยับขยายธุรกิจของตนง่ายขึ้น ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็จะมีทางเลือกมากขึ้นราคาสินค้าจะถูกลง

              ประการที่สาม ตลาดของเราจะใหญ่ขึ้น แทนที่จะเป็นตลาดของคน 67 ล้านคน ก็จะกลายเป็นตลาดของคน 590 ล้านคน ซึ่งจะทำให้ไทยกลายเป็นแหล่งลงทุนที่น่าสนใจ เพราะสินค้าที่ผลิตในประเทศไทยสามารถส่งออกไปยังอีกเก้าประเทศได้ราวกับส่งไปขายต่างจังหวัด ซึ่งก็จะช่วยให้เราสามารถแข่งขันกับจีนและอินเดียในการดึงดูดการลงทุนได้มากขึ้น

              ประการที่สี่ความเป็นประชาคมจะทำให้มีการพัฒนาเครือข่ายการสื่อสารคมนาคมระหว่างกันเพื่อประโยชน์ด้านการค้าและการลงทุน แต่ก็ยังผลพลอยได้ในแง่การไปมาหาสู่กัน ซึ่งก็จะช่วยให้คนในอาเซียนมีปฏิสัมพันธ์กัน รู้จักกัน และสนิทแน่นแฟ้นกันมากขึ้น เป็นผลดีต่อสันติสุข ความเข้าใจอันดีและความร่วมมือกันโดยรวม นับเป็นผลทางสร้างสรรค์ในหลายมิติด้วยกัน

              ประการที่ห้า โดยที่ ไทยตั้งอยู่ในจุดกึ่งกลางบนภาคพื้นแผ่นดินใหญ่อาเซียน ประเทศไทยย่อมได้รับประโยชน์จากปริมาณการคมนาคมขนส่งที่จะเพิ่มขึ้นในอาเซียนและระหว่างอาเซียนกับจีน (และอินเดีย) มากยิ่งกว่าประเทศอื่นๆ
บริษัทด้านขนส่ง คลังสินค้า ปั๊มน้ำมัน ฯลฯ จะได้รับประโยชน์อย่างชัดเจน จริงอยู่ ประชาคมอาเซียนจะยังผลทั้งด้านบวกและลบต่อประเทศไทย ขึ้นอยู่กับพวกเราคนไทยจะเตรียมตัวอย่างไร แต่ผลทางบวกนั้นจะชัดเจน เป็นรูปธรรมและจับต้องได้